จากการนำเสนอสถาปัตยกรรมฝั่งเหนือไปแล้ว (North Wing) อันเป็นพหุวัฒนธรรมระหว่าง ศรีสัชณาลัย-สุโขทัย (หรูอี้ / สุพรรณพฤกษา อันหมายถึงความ สุโข สำเร็จ) และ New York Architectureแล้ว ด้วยวัสดุหินอ่อน และ อิฐ เป็นหลัก
สถาปัตยกรรมฝั่งใต้นี้เป็นเรื่องของ ‘การกลับคืนสู่ธรรมชาติ’ ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้ง ที่ดูเหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่าย คือ แก่นสารในการดำรงชีวิตของมนุษย์ การรับรู้ ความงดงามของขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นสภาวะธรรมดา “เทวฑูตทั้ง 4” ที่มีความดิ้นรน ความทุกข์ และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอไม่จบสิ้น ไม่มีอะไรแน่นอน “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”
ทั้ง พระพุทธเจ้า, พุทธทาสภิกขุ (เงื่อม อินทปัญโญ), ศาสตราจารย์พิเศษ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), หลวงตามหาบัว, พระปราโมทย์ ปราโมชโช, ไปถึงสมณะโพธิรักษ์ ที่จัดว่ามีอิทธิพลมากในยุคกึ่งพุทธกาล (พ.ศ. 2500 หรือ ค.ศ. 1957) ต่างพูดในเรื่องเดียวกันคือ เรื่องของการใช้ชีวิต
การพิจารณาอย่างแยบคายถึงการเกิดและดับของจิต การรับรู้ทางกาย รวมถึง สภาวะธรรมอันละเอียด อันเรียกว่า การปฏิบัติธรรม ที่เป็นแก่นอันนำไปสู่ทางพ้นทุกข์ เป็นทางที่บัญญัติไว้นานแล้ว สาธุชนที่ติดตามทางมีอยู่เป็นจำนวนมาก
สำหรับ ศรีสุโขคลินิก ฝั่งใต้ แนวคิดมาจากการที่พ่อแม่ได้ส่งเสริมหมอกล้าและพี่น้องได้เข้าบวชเรียนในอดีต จะมีวัดที่เกี่ยวข้องเป็นหลักคือ วัดป่าสุคะโต จังหวัดชัยภูมิ อันเป็น วัดป่า
ตอนบวช หมอกล้าได้ไปพักอยู่ในกุฏิข้างป่าช้า และสิ่งนี้ไม่ต่างกับการที่ ศรีสุโขคลินิกที่มหานครเซ็นเตอร์ (Srisukho Clinic of Mahanakhon Center – ScMc) แห่งนี้ ตั้งอยู่บนที่สุสานเก่าที่มีชื่อเสียงมากของกรุงเทพมหานคร และเคยเป็นโรงเรียน อย่างซอยศึกษาวิทยา หรือ สีลม 9
หากใครได้อ่านบทความของสถาปัตยกรรมฝั่งเหนือจะพบว่า ตอนเด็กหมอกล้าเติบโตมาในบ้านพักแพทย์โรงพยาบาลพิจิตร ก็อยู่ข้างโรงดับจิต และบ่อบำบัดน้ำเสียเช่นกัน
การกลับคืนสู่ธรรมชาติ นอกจากหลักทางพุทธศาสนาแล้ว ของหมอกล้าก็ย้อนนึกไปถึงความเป็นมาของครอบครัวศรีสุโข ซึ่งเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงในการบำบัดโรค บำบัดทุกข์ให้ประชาชนในจังหวัดพิจิตร ไม่ต่างกับระบบบำบัดน้ำเสียที่อยู่ข้างบ้านตอนเด็ก
เป็นการพิสูจน์ตัวตนในระดับสูง ที่สมัยเด็กเวลาเข้ากรุง ถูกผู้ใหญ่ต่อว่า ว่า ไอ้บ้านนอกมาแล้ว หรือการเรียนในระดับต่างๆ เพื่อนๆ วัยเด็กดูแคลนว่า จังหวัดพิจิตรเป็นจังหวัดที่ด้อยการพัฒนามากที่สุดในประเทศไทย
ตลอดจนการเข้ามาพิสูจน์ตัวตนที่ “มาลิคลินิกเวชกรรม” ก็ผ่านอุปสรรคมากมาย รวมถึงนายทุนในอดีต ที่เคยด้อยค่าความเป็นมนุษย์ หมอกล้าอย่างถึงที่สุด การกดขี่ข่มเหงสารพัดที่จะทนได้ เปรียบเสมือนการบำเพ็ญทุกรกิริยาในสมัยพุทธกาล อดทนกับความทุกข์สุดขีดจนถึงที่สุด จึงได้ค้นพบว่า ทางที่เครียดเกินไป ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่ทางสายกลางต่างหาก คือ ทางแห่งความจริง แห่งสัจจะธรรม
เมื่อเติบโตมา ผ่านการขัดเกลา ของครอบครัว และอุปสรรคในสังคม ท่ามกลางการสนับสนุนของผู้เป็นที่รัก ทั้งคุณพ่อคุณแม่และน้องๆ เครือญาติ มหามิตร สังคม คนไข้ทั้งไทยและต่างประเทศ ตลอดจนภาคีต่างๆ
ทำให้แพทย์กล้าได้สร้าง ScMc ขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไอ้บ้านนอกจากจังหวัดที่ด้อยพัฒนาที่สุดในไทย สามารถมาเป็น จอมยุทธ์ ในด้านเฉพาะด้านได้
แนวคิดต้นแบบของการออกแบบสถาปัตยกรรมฝั่งใต้ จึงย้อนไปสู่ จิต “ใต้” สำนึก อันดี ตามชื่อกล้า ที่แปลว่า “ต้นกล้า” เพราะพ่อแม่หวังว่าให้เป็นชีวิตที่เจริญงอกงามได้ในทุกสภาวะ แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่แร้นแค้น ลำบากมากเท่าไรก็ตาม นั่นก็คือความสำเร็จของ ต้นกล้าแล้ว
พ่อแม่ยังสอนให้แทนคุณคน ตั้งแต่ครูบาอาจารย์สมัยเด็ก จนไปถึงคุณหมอผู้ทำคลอดเช่น อาจารย์หมอยุวัน อนุมานราชธน บุตรคนสุดท้ายของพระยาอนุมานพระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) ที่ผ่าคลอดให้หมอกล้า
และเป็นคนให้ยากระตุ้นไข่ให้หมอชัญวลี (แม่) กินก่อนจะตั้งครรภ์ แล้วมาพบภายหลังว่ายากระตุ้นไข่นั้นเป็นยาหมดอายุ
การสร้างสถาปัตยกรรมนี้จึงเน้นความเป็นธรรมชาติ คือ ป่า ต้นไม้ สายน้ำ หิน เพราะ พระป่าก็บรรลุธรรมโดยการใกล้ชิดธรรมชาติ หลายคนเป็นพระอนุรักษ์ เช่น หลวงพ่อคำเขียน ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหมอกล้า สายหลวงปู่เทียน และเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อไพศาล วิสาโล พระนักสันติธรรมผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นพระนักพัฒนาในรุ่นคุณพ่อคุณแม่ของหมอกล้า
เวลาเราไปวัดป่าสุคะโต จนถึง บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ที่ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๑๐) ได้ไปทรงพัฒนาจนเป็นแหล่งบึงธรรมชาติที่เจริญรุ่งเรือง
จึงเป็นที่มาของการให้ก่อสร้างสถาปัตยกรรมฝั่งใต้ของ ศรีสุโขคลินิก (ScMc)
ไม้ ที่ไว้สร้างศาลา กุฏิ หิน กุดโค้ง ที่เป็นที่นั่งปฏิบัติธรรม ลานเดินจงกรมที่ทำด้วยทราย และต้นไม้กับสายน้ำที่เป็นแหล่งอัมฤตของมวลชีวิตมาก่อน ดั่งที่เรารู้กันว่าโลกมีสรรพสัตว์ได้เพราะมีมวลสารแห่งชีวิตเหล่านี้มาก่อน
ตลอดจนผ้าที่เป็นสัญลักษณ์ถึงผ้าห่อศพที่พระเอามาใส่ เป็น สบง จีวร สังฆาฏิ ท่ามกลางความเสื่อมในโลกต่างๆ จิตวิญญาณของศีลธรรม คุณธรรม และการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ในใจตน มีความสำคัญ ด้านแก่นการปฏิบัติธรรม การฝึก ศีล สมาธิ ปัญญา, มงคลชีวิต และ การทำความดี ไม่ทำความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ธรรมะแท้ กลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงยาก แต่ไม่ใช่เข้าถึงไม่ได้ และเป็นเรื่องที่ต้องหมั่นขวนขวายอุตสาหะ ศึกษา ดังชื่อ ซอยศึกษาวิทยา
ก่อนจะสร้างสถาปัตยกรรมฝั่งใต้ หมอกล้าได้พาทีมงานกรุงเทพฯ ทั้งหมดไปเยือนอีกสถานที่สำคัญของใจกลางเมืองกรุงเทพ นั่นคือ ปาร์คนายเลิศ ที่มีโรงแรม AMAN Park Nai Lert สร้างขึ้นมาใหม่ และได้รับรู้เรื่องของความหรูหราราคาแพง Ultimate Luxury ของเครือโรงแรมดังของโลกที่มีสาขาที่ New York และมหานครต่างๆทั่วโลก แต่เน้นความใกล้ชิดกับธรรมชาติ ท่ามกลางความเป็นส่วนตัว อย่างถึงที่สุดเช่นกัน (Ultimate Luxury)
ศรีสุโขคลินิกแห่งมหานครเซ็นเตอร์ฝั่งใต้ จึงขอนำเสนอ concept ความหรูหราอีกปีกที่อยู่ใต้จิตสำนึกแห่งความหรูหราขั้นสุด นั่นคือบริการที่เหนือระดับจากจิตใจบริการที่ขัดเกล้ามาเป็นอย่างดี คุณภาพการรักษาที่ดี ภายใต้ความสะดวก สบายปลอดภัยจากทีมรักษาความปลอดภัยชั้นนำของชาติ ทหาร ตำรวจ
โดยการคัดสรรทีมสถาปนิกชั้นนำของเมืองไทยอีกเจ้า ไม่ต่างกับทีมที่ทำให้ฝั่งเหนือ นั้นคือมีเอกลักษณ์และสามารถตีโจทย์ของสถาปัตยกรรม “ใต้” จิตสำนึก (Sub-wing หมายถึง Subconscious) ได้ออกมาเป็นอย่างดี
และการรักษาที่ดี ผู้รับบริการ หรือคนไข้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงระดับจิตใต้สำนึกที่นำไปสู่พฤติกรรมที่ดีแห่งสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น การรับประทาน การหลับนอน การพักผ่อน การใช้ชีวิต ดนตรี ศิลปะ
ด้วยวิสัยทัศน์ของพ่อแม่ที่ส่งหมอกล้าไปศึกษาศาสตร์ต่างๆ มหาศาล และยังเคยไปต่างประเทศมาหลายที่ในวัยเด็ก จากเด็กบ้านนอกจากจังหวัดที่ถูกด้อยค่า จนประกาศตัวตนในวัยทำงานของชีวิตได้รับการชื่นชมมาก จึงผลักดันให้เกิดการออกแบบสถาปัตยกรรม ที่ให้ความรู้สึกสงบอย่างแปลกประหลาด เหนี่ยวนำให้มีเวลาในการพักผ่อนและพิจารณาสภาวะธรรม ธาตุขันธุ์ต่างๆ ของร่างกาย อันมีอยู่เป็นอยู่ตามมีภาวะ ที่เป็นอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน
และการรักษาที่ดี ผู้รับบริการ หรือคนไข้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงระดับจิตใต้สำนึกที่นำไปสู่พฤติกรรมที่ดีแห่งสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น การรับประทาน การหลับนอน การพักผ่อน การใช้ชีวิต ดนตรี ศิลปะ
นั่นก็คือ ธรรมชาติ หรือ หลักธรรมขั้นสูงของศาสนาพุทธที่ว่าด้วยเหตุและปัจจัย นั่นคือ กฏอิทัปปัจยตา หลักธรรม
ปฏิจจสมุปบาท หลักธรรมแห่งการพบเหตุปัจจัยเกิดและดับ
การมาเยือนศรีสุโขคลินิกที่กรุงเทพ ของหมอกล้า ก็คงมีแนวคิดไม่ต่างกับการพบแพทย์ที่ศรีสุโข พิจิตร ของพ่อแม่ นั่นคือ เป็น “คำตอบแห่งสุขภาพ” คือการเข้าถึงแพทย์เป็นการหาปัจจัยแห่งการเกิดและดับทางโรคในวัฏฏสงสารต่างๆ นั่นเอง
บทสรุปทางสถาปัตยกรรม: อันกล่าวโดยสรุป ศรีสุโขฝั่งเหนือและใต้ แห่งมหานครเซ็นเตอร์ เป็น หลักแนวคิดการออกแบบ เป็นคู่
ตามหลักที่มวลมนุษยชาติสนใจ ตั้งแต่ ความสว่าง ความมืด , หยิน หยาง, และ โลกธรรม 8 นั่นคือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสุข มีทุกข์ มีสรรเสริญ มีนินทา ไปตลอดจนหลักชีววิทยาพื้นฐาน อันที่คุณพ่อคุณแม่หมอกล้าสนับสนุนให้เป็นนักคิดโดยใช้วิทยาศาสตร์ คือ สมองมีซอกซีก ร่างกายมีสองฝั่ง
การให้การรักษาโรคหรือยารักษาโรคในศาสตร์ทางตะวันตกที่หมอกล้าได้รับการยอมรับมากก็เพราะ คิดถึงหลักในข้อนี้ โดยทีมงานรุ่นแรกๆของกรุงเทพมหานคร จะจดจำได้ดีกับ ถาดหินอ่อน สีขาว ที่เป็นยาเช้า และ ถาดหินอ่อนสีดำ ที่เป็นยาก่อนนอน
การกระตุ้นต้องมีการยับยั้ง การรักษาต้องมีการแก้อาการผลข้างเคียง
ชีวิตที่เคลื่อนไปทุกวัน เช้าจรดค่ำ เกิดจาก การที่โลกหมุนรอบตนเองและรับแสงแดดตั้งแต่เช้าจนแสงนั้นลาลับฉันใด
ศรีสุโขมหานคร ก็เป็นเช่นนั้น มีฝั่งเหนือ(ความคาดหมาย) และ ฝั่งใต้(จิตสำนึก) ที่จะทำให้ผลลัพธ์ ใช่ ที่สุด และเหมาะสมตามแต่ล่ะบุคคล โดยยึดผลประโยชน์ผู้รับบริการ หรือคนไข้เป็นจุดศูนย์กลาง
การกระตุ้นต้องมีการยับยั้ง การรักษาต้องมีการแก้อาการผลข้างเคียง
ชีวิตที่เคลื่อนไปทุกวัน เช้าจรดค่ำ เกิดจาก การที่โลกหมุนรอบตนเองและรับแสงแดดตั้งแต่เช้าจนแสงนั้นลาลับฉันใด
ศรีสุโขมหานคร ก็เป็นเช่นนั้น มีฝั่งเหนือ(ความคาดหมาย) และ ฝั่งใต้(จิตสำนึก) ที่จะทำให้ผลลัพธ์ ใช่ ที่สุด และเหมาะสมตามแต่ล่ะบุคคล โดยยึดผลประโยชน์ผู้รับบริการ หรือคนไข้เป็นจุดศูนย์กลาง
อ่านข้อมูล : การสร้างศรีสุโข กรุงเทพมหานคร
