SCMC CLINIC

เข้าใจกลไกการทำงานของร่างกาย ก่อนเริ่มโปรแกรมลดน้ำหนักจริงจัง

เข้าใจกลไกการทำงานของร่างกาย ก่อนเริ่มโปรแกรมลดน้ำหนักจริงจัง

เข้าใจก่อนลด! กลไกการทำงานของร่างกาย กับการลดน้ำหนักที่ยั่งยืน

หลายคนเริ่มต้นการลดน้ำหนักด้วยความตั้งใจเต็มร้อย แต่กลับไม่เห็นผลลัพธ์ตามที่หวัง หรือเห็นผลแล้วแต่กลับมาโยโย่ในภายหลัง ปัญหาเหล่านี้อาจไม่ได้เกิดจากการ “ขาดวินัย” อย่างที่คิด แต่เพราะ ยังไม่เข้าใจกลไกของร่างกาย อย่างแท้จริง

การลดน้ำหนักให้ได้ผล ไม่ใช่แค่ “กินน้อย–ออกกำลังกายเยอะ” เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจว่า ร่างกายของเราทำงานอย่างไร และต้องการอะไร เพื่อจะเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด

1. ระบบเผาผลาญของแต่ละคนไม่เท่ากัน

หลักของการลดน้ำหนักคือ “เผาผลาญพลังงานให้มากกว่าที่รับเข้า” หรือที่เรียกว่า Caloric Deficit แต่สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามคือ…

  • ร่างกายแต่ละคนมี อัตราการเผาผลาญพื้นฐาน (BMR) ไม่เท่ากัน
  • คนที่มีกล้ามเนื้อมาก จะเผาผลาญพลังงานได้ดีกว่า แม้ในขณะพักผ่อน
  • คนที่เคยลดน้ำหนักแบบหักดิบ ระบบเผาผลาญอาจถูกปรับให้ช้าลง
  • เมื่ออายุเพิ่มขึ้น การเผาผลาญก็จะลดลงตามธรรมชาติ

ดังนั้น การทำตามสูตรเดียวกันกับคนอื่น อาจไม่ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกันเสมอไป

2. กล้ามเนื้อคือกุญแจสำคัญของระบบเผาผลาญ

การมีมวลกล้ามเนื้อที่เพียงพอ ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้แม้ในขณะที่คุณไม่ได้ออกกำลังกาย โดยเฉพาะหากคุณเน้นการ ออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) ควบคู่กับคาร์ดิโอ

  • กล้ามเนื้อ = ตัวช่วยเผาผลาญไขมัน
  • มีกล้ามมากขึ้น = เผาผลาญมากขึ้น โดยไม่ต้องออกแรงหนักทุกวัน
  • ส่งผลดีต่อรูปร่าง และการควบคุมน้ำหนักในระยะยาว

3. ฮอร์โมน: ปัจจัยลับที่ควบคุมความหิว ความอิ่ม และการสะสมไขมัน

ระบบฮอร์โมนมีบทบาทอย่างมากต่อการควบคุมน้ำหนัก เช่น:

  • Ghrelin: ฮอร์โมนกระตุ้นความหิว ยิ่งอดอาหารนาน ยิ่งหลั่งมาก
  • Leptin: ฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกอิ่ม หากดื้อต่อเลปติน จะหิวบ่อย
  • Insulin: ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาล หากดื้อต่ออินซูลิน จะสะสมไขมันได้ง่าย โดยเฉพาะที่หน้าท้อง

พฤติกรรมที่รบกวนการทำงานของฮอร์โมน:

  • นอนหลับไม่พอ
  • เครียดสะสม
  • กินน้ำตาลและแป้งขัดขาวมากเกินไป

4. ความเครียดและการพักผ่อน: ตัวแปรสำคัญที่มักถูกมองข้าม

เมื่อร่างกายเครียดหรืออดนอน จะหลั่ง ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งส่งผลให้…

  • ระบบเผาผลาญแปรปรวน
  • ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น
  • รู้สึกอยากของหวานมากขึ้น

การนอนหลับให้เพียงพอวันละ 7–8 ชั่วโมง และรู้จักผ่อนคลายความเครียด จะช่วยให้ลดน้ำหนักง่ายขึ้น

5. การเผาผลาญไขมันเป็น “กระบวนการ” ไม่ใช่เวทมนตร์

ไขมันในร่างกายไม่หายไปในทันที แต่จะถูกเผาผลาญเป็นพลังงาน แล้วขับออกทางลมหายใจ เหงื่อ และของเสีย

  • ต้องอาศัย ความต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
  • ไม่สามารถ “เบิร์นทีเดียวแล้วจบ” ได้
  • ความคงที่ในการกินและออกกำลังกาย คือหัวใจสำคัญ

6. กินน้อยเกินไป = ระบบป้องกันตัวเองเริ่มทำงาน

หากคุณลดปริมาณอาหารมากเกินไปเป็นเวลานาน ร่างกายจะเข้าสู่ “โหมดประหยัดพลังงาน” เพื่อเอาตัวรอด

  • เผาผลาญน้อยลง
  • รู้สึกหนาวง่าย เหนื่อยง่าย
  • น้ำหนักนิ่ง ไม่ลด
  • เสี่ยงเกิด โยโย่เอฟเฟกต์ เมื่อกลับมากินปกติ

การลดน้ำหนักเร็วเกินไป ไม่ได้แปลว่าจะยั่งยืนเสมอไป

สรุป: ฟังเสียงร่างกาย แล้วค่อยเริ่มอย่างมั่นใจ

ก่อนเริ่มต้นโปรแกรมลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ลองถามตัวเอง:

  • “ร่างกายของฉันต้องการอะไร?”
  • “พฤติกรรมไหนที่ควรปรับ เพื่อให้เหมาะกับชีวิตประจำวัน?”
  • “เป้าหมายของฉันคือแค่ผอม หรือสุขภาพที่ยั่งยืน?”


เมื่อตั้งต้นจากความเข้าใจร่างกายของตัวเองแล้ว คุณจะไม่รู้สึกกดดันหรือรีบร้อนอีกต่อไป แต่จะสามารถสร้างวิถีชีวิตใหม่ที่ แข็งแรง สมดุล และมีความสุขในระยะยาว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

โทรศัพท์: 097 428 2999
LINE Official: @msc.skin
Facebook: MALI CLINIC Silom3 BY Doctor Gla
IG : maliclinic.silom3
Tiktok : @maliclinic.silom3 
Website : https://scmcthailand.com

แนะนำให้จองล่วงหน้าเพื่อรับบริการตรงเวลา และได้รับการดูแลอย่างเต็มที่จากผู้มีประสบการณ์เฉพาะทาง

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top